วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่าจาก ศันสนีย์ (ตอนที่ 1)


ศันสนีย์  คือใคร ?
ศันสนีย์  คือแม่ของผมเอง  นานมาแล้วที่ศันสนีย์ทำงานในแวดวง อบต. และพบเจอเรื่องราวต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดีจนกลั่นกรองเกิดเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ามา ณ ปัจจุบันนี้  

เรื่องราวต่อไปนี้  เป็นข้อมูลจริงที่ถูกถ่ายทอดมาจากประการณ์ตรงของ ศันสนีย์ เกี่ยวกับ แวดวง  อบต. เทศบาลตำบล  อำเภอ  จังหวัด  ตลอดจนการทำงานด้านอื่น ๆ ที่จะนำเสนอให้แง่คิดกับทุกคน

-----------------------------------------------------------
ความจริงเมื่อปี 2539 นั้น ใคร ๆ ก็ยังไม่รู้จัก อบต. นะ.. !!??

มันคืออะไร ?? ..
ถ้าเราไม่ไปสอบบรรจุ  เราก็ตกงานนะสิ !! หลาย ๆ คนคิดเหมือนเราเช่นกัน ..  เราเริ่มไปทำงานปี 2540 นายรู้ไหม ?  เราร้องไห้ !!!! เรากลัว !!!   นายอาจจะสงสารเรานะ  แต่ถ้านายรู้อนาคตของเรา  นายคงไม่สงสารเราหรอกนะ...คิดว่างั้น

เรารู้ว่าเราประสบกับตัวเองมาโดยตลอด 15 ปี  นายเชื่อไหมล่ะ ???  รู้แล้วอย่าบอกใคนะ  ระวังมันขโมยไปอ่าน !! เก็บไว้ดี ๆ นะ !!!

มันเหมือนตกกะไดพลอยโจร...เราเข้าสู่วงการ  อบต.  มาเนี้ย  เจอทั้ง  เสือ  สิงห์  กระทิง  แรด  งู  และ จิ้งเหลน   ...อ้อ..!! ลืม  อีกตัว  คือ  สุนัข   (ถ้าไม่รักจริงไม่เล่าให้ฟังนะเนี่ย...)

นายอาจจะคิดว่าเราคือ  พนักงานเจ้าหน้าที่ธรรมดาทั่วไปใช่ไหม ? ... เรายิ่งใหญ่นะ !!!  แต่...ให้ตายสิ  เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย  ว่า  เรายิ่งใหญ่จริง ๆ จ่ายเช็คไปไม่รู้กี่ล้าน ๆ บาทแล้วเนี่ย !!???

งานหลวง  งานรัฐ  เขาเขียนมาดีนะ  เขียนไป  แก้ไป  ไม่รู้ว่าปีไหนจะสมบูรณ์ หุหุ...  ไอ้เราก็คนปฏิบัติงาน อ่านะ  ไม่ใช่คนออกกฎหมาย  เราก็ต้องศึกษางานตลอดเวลาการทำงานเลยละ  จนเดี๋ยวนี้..ชีวิตไม่เคยนิ่ง


นายยก..เขายิ่งใหญ่ที่สุดใน อบต. นะ !!!
ส่วนใหญ่ชาวบ้านคิดว่า ปลัด อบต.ใหญ่ที่สุด  จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ   เราทำงานปีแรก ๆ ใคร ๆ ก็ชอบถามเราว่า  ใน  อบต.  ใครใหญ่ที่สุด ??  เราก็ตั้งข้อสงสัยเหมือนกัน  ว่า  ทำไมคนเหล่านั้นถึงไม่รู้ว่าใครใหญ่ที่สุดใน อบต. ??  

นายรู้ไหมว่า..คนที่ใหญ่ที่สุดคือผู้รับเหมา !!!

มันอะไรกัน !!??++

เราอยู่มาก็หลาย  อบต. นะ  เรามีประสบการณ์  แต่ละที่ไม่เหมือนกันเลย...  ปีแรก ๆ นั้น  เราบอกตรง ๆ ว่า  เราทำงานไม่ค่อยเป็นเลย.. ส่วนใหญ่ก็เป็นปัญหาของคนทำงานใหม่ ๆ อะนะ  ต่อมา...เรามั่นใจว่าเราทำได้ดีที่สุดแล้วละ...  ปัญหามันเกิดขึ้นตลอดการทำงาน  มีสิ่งให้เราแก้ไขตลอดเวลา  เรียนรู้ตลอดเวลา .. เราเคยท้อนะ  ... มีทั้งคนต่อว่า....มีทั้งคนให้กำลังใจ  ซึ่งมันก็ดีอยู่ (-_-)!!

พี่ ๆ ที่ทำงานระดับจังหวัดก็บอกว่า  "ทำ ๆ ไปเถอะนะ..งาน อบต.  ดีกว่าตกงาน"

------------------------------------------------------------------
เดี๋ยวมาติดตามต่อ...ในตอนที่ 2 นะครับ...
ปล. ผมพิมพ์ไม่ทัน ....

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้ปิดทองใต้ฐานพระ (ซุ่มบริจาคทรัพย์เงียบ 30ปี มูลค่ากว่าแสนล้านบาท)

เดลี่ เมล์ ได้เปิดเผยเรื่องราวของนายชัค ฟีเนย์ อภิมหาเศรษฐีผู้ได้ชื่อว่าเป็น “บุรุษใจบุญซุ่มเงียบ” ผู้บริจาคทรัพย์สินกว่า 7,500 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.51 แสนล้านบาท) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากบิล เกตส์ อภิมหาเศรษฐี เจ้าพ่อกิจการไมโครซอฟท์ ซึ่งกลายเป็นบุรุษใจบุญรายใหญ่ที่สุดของโลก
รายงานระบุว่า นายชัค ซึ่งเป็นชาวอเมริกัน-ไอริช เจ้าของกิจการขายสินค้าปลอดภาษี ได้เริ่มบริจาคเงินอย่างลับๆ ตั้งแต่ปี 1984 และได้ก่อตั้งมูลนิธิชื่อว่า “แอตแลนติค ฟาวเดชั่น” โดยเขาได้ซุ่มบริจาคเงินอย่างเงียบๆ เป็นเวลากว่า 29 ปี เป็นมูลค่า 7,500 ล้านดอลลาร์ไปแล้ว และมีแผนจะบริจาคเพิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าเขาจะเสียชีวิต ขณะที่เจ้าตัวมีภาพลักษณ์ถือความสมถะมาก โดยเขาใส่นาฬิกายี่ห้อ “คาสิโอ” ราคาเพียง 15 ดอลลาร์ ชอบเดินทางด้วยรถไฟ ไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเอง และชอบแต่งกายในสไตล์เชยๆ และให้ลูกของเขาทำงานไปพร้อมกับการเรียนหนังสือ
รายงานระบุว่า ทรัพย์สินทั้งหมดที่นายชัคบริจาค ถือเป็นสัดส่วนถึง 99 เปอร์เซ็นต์ของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี โดยบริจาคให้มูลนิธิที่เขาก่อตั้งที่จะกระจายเงินบริจาคให้แก่ด้านสาธารณสุข, วิทยาศาสตร์, การศึกษา และสิทธิพลเรือนทั่วโลก และนายชัคเคยกล่าวกับ “ฟอร์บส์” ว่า ผู้คนมีแต่รับปากว่าจะให้ แต่สำหรับเขา เขาไม่ชอบพูดว่าเขามีสิทธิจะอวดว่าตัวเองก็เป็นนักบริจาค แต่เขาชอบทำเรื่องแบบนี้อย่างฉลาดมากกว่า
พร้อมทั้งกล่าวด้วยว่า เขาเชื่อว่า เขาพอใจมากกว่ากับการกระทำเช่นนี้ และได้เห็นสิ่งต่างๆ ถูกเนรมิตขึ้นจากเงินบริจาคของเขา เช่น โรงพยาบาลและมหาวิทยาลัย และว่าการบริจาคทรัพย์เป็นเรื่องมีเหตุผล มากกว่าการนำเงินไปเข้าบัญชีธนาคาร และรอให้เงินนั้นงอกเงยขึ้นเรื่อยๆ และเขาคิดว่า เขามีความสุขเมื่อเขาได้ทำสิ่งที่ได้ช่วยเหลือผู้คน และจะไม่มีความสุข ถ้าสิ่งที่เขา ไม่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น
ที่มา : http://www.matichon.co.th


วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทำไมแค่เก่ง.. จึงไม่ประสบความสำเร็จ ???


ออกจะเป็นชื่อที่ดูท้าทายสวนกระแสความเชื่อของสังคมอยู่นิด ๆ เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยมีความเชื่อหรือมีค่านิยมทางสังคมกันไปว่าคนเก่งเกรดเรียนดีคนนำาเสนอเก่งพรีเซนต์คล่องคงเป็นคนที่ต้องประสบความสำาเร็จแน่มากกว่าคนธรรมดาชาวบ้านร้านตลาดทำาทว่าทำาไมคนเก่งบางคน จึงมีแต่คนเกลียด? และคนที่ประสบความสำาเร็จนั้น เป็นคนเดียวกันกับคนเรียนเก่ง หรือไม่?

ทุกวันนี้การให้สิทธิพิเศษหรือการให้อำานาจแก่คนเก่ง “ทำคะแนน” เพียงเท่านั้น กลับเป็นค่านิยมหลักของการคัดเลือกและตัดสินคุณภาพมนุษย์ด้วยกันเอง มากกว่าการพิจารณาเหตุปัจจัยสำาคัญด้านอื่นๆที่สำาคัญไม่แพ้กัน Dr.John C. Maxwell* เชื่อว่า ความเก่งจากพรสวรรค์และสติปัญญาเพียงอย่างเดียวนั้น ยังไม่พอที่จะเป็นเครื่องการันตีให้ได้ว่าเราจะประสบความสำาเร็จ ซึ่งชื่อบทความนี้จึงมาจากหนังสือของเขา ในชื่อภาษาอังกฤษว่า “Talent Is Never Enough” หรือในฉบับแปลไทยคือ “แค่เก่ง...ไม่พอ” ซึ่งเขาได้เสนอปัจจัยประกอบอีก 13 คุณสมบัติ ที่ต้องมีในผู้ที่จะก้าวข้ามขีดจำากัดของความเก่งขึ้นไปสู่ความสำาเร็จไว้เรียบเรียงสรุปได้ ดังนี้

1. มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในศักยภาพของตัวเอง (Belief)  
คนที่ประสบความสำาเร็จจะต้องมีความเชื่อมั่นว่า ตนเองมีความสามารถที่จะทำาสิ่งเหล่านั้นได้ และนั่นจะสร้างพลังที่จะทำลาย ข้อจำากัดหรือความกังวลเริ่มต้นของคุณได้เปิดทางสู่การยกระดับความสามารถและความท้าทายใหม่ๆ


2. มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า (Passion) 
ผู้แต่งเชื่อว่า คนที่มีความเก่งไม่ได้สูงมากแต่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าก็สามารถก้าวขึ้นมาเหนือคนเก่งที่มีความสามารถสูงแต่เอื่อยเฉื่อยกับชีวิตได้ (A passionate person with limited talent will outperform a passive person who possesses a greatest talent.) เมื่อเรามีความมุ่งมั่นมาจากข้างใน จะทำาให้เกิดพลังที่แสดงผ่านออกมาทั้งทางบุคลิกภาพท่าทาง คำาพูด ดูน่าเชื่อถือ ผู้ฟังจะเกิดกำาลังใจ มีความกระตือรือร้นและเต็มใจให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที

3. มีจินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (Initiative)
 การสร้างจินตนาการนั้นแตกต่างจากการฝันกลางวันตรงที่จินตนาการแล้วต้องลงมือกระทำาด้วยเสมอ แต่การฝันกลางวันคือ การวาดภาพในอากาศแต่ไม่เคยมีการลงมือกระทำาใดๆเลย ผู้แต่งเชื่อว่าสิ่งนี้เป็นเพียงการรอคอยปัจจัยภายนอก ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตก็เป็นได้ในการรอคอยให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ในทางกลับกัน การพยายามริเริ่มความคิดที่สร้างสรรค์จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถ และช่วยให้สิ่งต่างๆ ที่เราวาดฝันไว้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

4. มีเป้าหมายชัดเจน (Focus)
 การมีเป้าหมายที่ชัดเจน ผู้แต่งกล่าวว่า นั่นคือการมีสมาธิ เพราะคนที่มีสมาธิจะไม่หัวเสียไปกลับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมาขัดขวางสติปัญญา แต่จิตจะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ช่วยให้เราเกิดความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นในการทำาสิ่งต่างๆ ให้ประสบความสำาเร็จ แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งการยึดติดกับเป้าหมายมากเกินไป อาจจะเป็นการดื้อรั้นที่ผิดทางก็เป็นได้ ดังนั้นต้องมีสติคอยตรวจสอบระหว่างทางอยู่เสมอด้วย โดยการหมั่นถามกับตัวเองว่า ขณะนี้เรากำาลังทำาสิ่งใด เพื่ออะไร ตรงประเด็นอยู่หรือไม่ อยู่ห่างจากเป้าหมายมากน้อยเพียงใด และต้องทำาสิ่งใดอีกบ้าง เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายดังกล่าว การทบทวนจะทำาให้เราไม่หลุดทิศทางออกไปจากเป้าหมาย และไม่เสียเวลาไปกับเส้นทางที่ผิด

5. มีการเตรียมตัว (Preparation)
 การเตรียมตัวนั้นจะช่วยสร้างความพร้อมในการแสดงความสามารถ ให้อยู่ถูกที่ถูกเวลาได้อย่างเหมาะสมเรียกว่าเตรียมพร้อมรับมือไปกับแต่ละสถานการณ์ เป็นการทบทวนรวบความคิดของเราให้กระชับ อีกทั้งยังเป็นการให้เกียรติผู้อื่นด้วย เช่น ในกรณีที่เราจะต้องนำาเสนอโครงงานให้เพื่อนร่วมงานฟัง แม้ว่าเราจะเคยนำาเสนอโครงงานนี้มาแล้วก็ตามที แต่ก็ควรเตรียมตัวไปเสมอ เพราะในการนำาเสนอแต่ละครั้ง จังหวะเวลาและสถานการณ์แวดล้อมย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้

6. มีการฝึกฝน (Practice)
 การฝึกฝนอยู่เสมอ จะช่วยให้เรามีสติปัญญาที่ลุ่มลึกมากขึ้นและรู้จักตัวเองมากขึ้น เช่น เราถนัดทำางานในช่วงใดของวัน ในสภาพแวดล้อมแบบใด หรือเราชอบมอบหมายงานให้ลูกน้องแบบใด เป็นต้น

7. มีความมานะพากเพียร (Perseverance)
 ผู้แต่งได้ยกตัวอย่างของ “วอลท์ ดิสนีย์” ไว้ว่า ถึงแม้เขาจะต้องเพียรพยายามในการขอเงินกู้มากกว่าสามร้อยครั้ง เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการสร้างดิสนีย์แลนด์แห่งแรกในลอสแองเจลลิส แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ เพราะเขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำาให้เขายุติความพยายามได้ก็คือ ความสำาเร็จจากการที่เขาพยายามทำาสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง

8. มีจิตใจเข้มแข็งและกล้าหาญ (Courage)
 ความกล้าหาญในที่นี้คือ ความกล้าที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในแง่บวกและแง่ลบ ทั้งความสมหวังและความผิดหวัง กล้าที่จะรับบททดสอบจากปัญหาและอุปสรรคระหว่างทางที่มุ่งสู่ความสำาเร็จ

9. มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา (Teachability)
 คนที่ประสบความสำาเร็จได้ ต้องมีจิตใจที่เปิดกว้าง ใฝ่เรียนรู้ และยอมรับองค์ความรู้ใหม่ๆอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าตนเองจะประสบความสำาเร็จมามากมายแค่ไหนแล้วก็ตาม

10. มีลักษณะนิสัยที่ดี (Character) 
 คนเก่งบางคนทำางานเก่งมาก ไปถึงเป้าหมายที่กำาหนดไว้ได้ตามผลสัมฤทธิ์ที่หวัง แต่ทำาไมถึงมีคนเกลียดไปทั่วบ้านทั่วเมือง นิสัยที่ไม่ดี ขัดต่อจรรยาบรรณ ขัดต่อศีลธรรม ก็ต้องแก้ไขให้ดี เพราะไม่มีใครที่อยากจะทำางานกับคนที่มีนิสัยพูดยุแยงนินทาว่าร้าย ป้ายความผิดให้ผู้อื่น หรือทำาอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ การมีนิสัยที่ดีงามจะเป็นส่วนเสริมสร้างโอกาสในการพัฒนาศักยภาพให้แก่คุณได้ จงอย่าลืมว่ามนุษย์มักเลือกที่จะจดจำาส่วนที่ไม่ดีของผู้อื่นมากกว่าส่วนที่ดี ดังนั้นภาพพจน์ ชื่อเสียงจึงเป็นสิ่งที่จะต้องรักษาไว้ดั่งชีวิต เพราะหากพลาดเพียงครั้งเดียวก็เท่ากับทำาลายสิ่งดีๆ ที่เคยสั่งสมมาให้หายไปได้ภายในพริบตาเดียว

 11. มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง 
 การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างนั้นมีอิทธิพลต่อโอกาสต่างๆ ที่จะเสริมสร้างศักยภาพเรา แต่การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีนั้น ต้องไม่ขัดต่อหลักการความถูกต้อง ไม่ใช่ยอมรอมชอมไปผิดๆ เพียงเพื่อหวังซื้อใจ นอกจากนี้เราควรเลือกบุคคลที่จะคบหาสมาคมด้วย อย่าตัดสินคนจากคำาพูด รูปลักษณ์ภายนอก หรือการกระทำาเพียงผิวเผินของเขา ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดคือ การสังเกตดูจากคนรอบข้างของคนๆ นั้น เพราะคนคล้ายคลึงกันมักคบหากัน เช่น คนที่ซื่อสัตย์ย่อมทนไม่ได้ที่จะอยู่ร่วมกับคนที่โกง เป็นต้น

 12. มีความรับผิดชอบ (Responsibility)
ผู้ที่ไต่บันไดสู่ยอดของความสำาเร็จ ย่อมมีผู้ร่วมงาน ผู้ตามหรืออยู่เบื้องหลังอีกมาก เมื่อเกิดปัญหาในความรับผิดชอบ ต้องไม่โยนความผิดให้ผู้อื่น ไม่ว่าในกรณีใดๆ ก็ตาม

 13. มีทักษะในการทำงานร่วมกันเป็นทีม (Teamwork)
การทำงานให้ประสบความสำาเร็จ จำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่มีความสามารถในหลายๆ ด้านเข้ามาช่วยกันระดมสมอง เพื่อขยายขอบเขต มุมมองแนวคิดจินตนาการออกไปให้กว้างไกลมากขึ้น ฉะนั้นคนที่จะประสบความสำเร็จได้จะต้องสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และจะต้องเน้นเรื่องงานเป็นหลักมากกว่าเรื่องส่วนตัว

ความจริงแล้วปัจจัยสู่ความสำาเร็จเหล่านี้ มีอยู่ในพุทธศาสนามาก่อนแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี นั่นคือหลัก “อิทธิบาท ๔”** ซึ่งแปลว่า “บาทฐานแห่งความสำาเร็จ” หรือคุณธรรมที่นำาไปสู่ความสำาเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย (path of accomplishment; basis for success) ซึ่งจำาแนกไว้เป็น ๔ คือ

 อิทธิบาท ๔ จาก พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
  • ๑. ฉันทะ (ความพอใจ คือ ความต้องการที่จะทำา ใฝ่ใจรักจะทำาสิ่งนั้นอยู่เสมอแลปรารถนาจะทำาให้ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป - will; aspiration) 
  • ๒. วิริยะ (ความเพียร คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย - energy; effort; exertion)
  • ๓. จิตตะ (ความคิด คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำาและสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไปมีความมุ่งมั่นมีสมาธิต่อสิ่งนั้น - thoughtfulness; active thought)
  • ๔. วิมังสา (ความไตร่ตรอง คือ หมั่นใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญตรวจตราหาเหตุผลและตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำานั้น มีการวางแผนวัดผลคิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น - investigation; examination; reasoning; testing)
จะเห็นได้ว่าหัวใจสำาคัญของการเป็นผู้ที่จะประสบความสำาเร็จไม่ว่าจะแวดวงใดก็ตาม หนีไม่พ้นเรื่องของการต้องเป็นคนดี มีศีลธรรม มีสติคิดอย่างมีปัญญาและมีสมาธิเป็นพื้นฐาน ทั้งศาสตร์ของตะวันตกและตะวันออก ไม่ว่ายุคสมัยจะผ่านมากี่พันปีปัจจัยแห่งความสำาเร็จแทบไม่ต่างกันขอเพียงตั้งใจที่จะทำาให้จริงและครบทุกข้อเท่านั้น

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

แง่คิดดี ๆ จาก CEO คุณก่อศักดิ์ CP7-11


ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เมื่อได้ทราบข่าวว่า พนักงานของเราบางคน
เมื่อได้รับสิทธิเป็นแฟรนไชส์ร้านเซเว่นฯ แล้วก็เริ่มเสียผู้เสียคน
เนื่องจากมีเวลาเพิ่มขึ้นและมีรายได้มากขึ้น
บางคนลุ่มหลงการพนัน บางคนเมื่อมีเครดิตดีขึ้น ก็จับจ่ายใช้สอยอย่างฟุ่มเฟือย
ด้วยบัตรเครดิตสารพัดประเภท จนมีหนี้สินรุงรังหาทางออกไม่เจอ
โอกาสดีที่บริษัทฯ มอบให้กลับกลายเป็นโทษสำหรับพนักงานที่ขาดความยั้งคิด
ปล่อยตัวไปตามกระแสกิเลสที่ไหลเชี่ยวอยู่ในสังคมและจมดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ
ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันได้อีก…
ผมหวนรำลึกถึงตัวเองในวัยเยาว์ ที่มีเงินติดกระเป๋าเพียง 50 สตางค์
ซึ่งเพียงพอแค่ซื้อน้ำหวานได้ 1 แก้ว แต่ผมก็เดินชมร้านรวง
ตามสองข้างทางถนนเยาวราชอย่างมีความสุข
ไม่มีเงินพอซื้อตั๋วชมภาพยนตร์ แต่ก็สามารถเข้าไปเดินชม’ หนังแผ่น ‘
หรือภาพตัวอย่างจากภาพยนตร์ที่ติดอยู่ตามผนังด้วยความสำราญใจ
เมื่ออายุยังน้อย ผมไม่ค่อยได้เล่นของเล่นราคาแพงๆ เหมือนเด็กคนอื่น
คุณพ่อจะให้เหตุผลว่า ปืนคาวบอยสีสันแวววาวที่ผมอยากได้หนึ่งกระบอก
ราคาพอๆ กับค่ากับข้าวหลายวัน ผมก็เห็นจริงตามนั้น จึงไม่กล้ารบเร้าเซ้าซี้ต่อไป
โชคดีที่คุณพ่อผมส่งเสริมเรื่องการอ่าน ถ้าขอเงินไปเช่าหรือซื้อหนังสืออ่านเป็นไม่มีผิดหวัง

และเพราะนิสัยรักการอ่านนี่เอง ที่ทำให้ผมรู้จักโลกกว้าง รู้จักชีวิต รู้จักคิดอย่างมีระบบ
และมีหลักการ รวมทั้งได้ความรู้ความสามารถภาษาติดมาโดยไม่รู้ตัว
แม้ฐานะทางบ้านจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ผมก็ไม่เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
มีเพียงความมุ่งมั่นจะสร้างชีวิตที่มีคุณค่าตั้งใจจะเรียนต่อสายอาชีพ
เพื่อจะได้รีบจบออกมาทำงานช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว
เมื่อเรียนจบระดับ ปวช. ผมก็ลงทะเบียนเรียนภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
กลางวันก็เข้าทำงานที่บริษัทยาแห่งหนึ่งของประเทศเยอรมัน ผมยังจำได้ดีว่า
ได้รับเงินเดือนเดือนแรก 1,500 บาท ถูกหักภาษี 70 บาท
มอบเงินให้คุณแม่ 1,100 บาท เหลือติดตัวไว้ใช้เพียง 330 บาท ก็อิ่มอกอิ่มใจ
ไม่รู้สึกว่า ชีวิตขาดแคลนอะไร
ผมเริ่มเป็นหนี้ครั้งแรก ก็เมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะคงมีน้อยคนนัก
ที่จะสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินสดๆ ทั้งก้อน และถ้ารอจนกว่าจะเก็บเงินได้ครบ
ราคาบ้านก็อาจวิ่งแซงไปจนตามซื้อไม่ทัน
แต่สำหรับเรื่องอื่น ผมไม่เคยก่อหนี้เกินตัว ผมยังจดจำคำที่คุณพ่อพร่ำสอน
มาตั้งแต่เด็กว่า ‘ ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ ‘
คนไม่มีหนี้จะไม่ต้องคอยหลบหน้าใคร ถึงเวลานอนก็หลับสบายไร้ความกังวล
ผมจึงถือคติว่า ยอมกินข้าวคลุกเกลือเปล่าๆ ยังดีกว่า
เสียศักดิ์ศรียืมเงินคนอื่นไปซื้อผักปลามาเป็นกับข้าว
มีอยู่คราวหนึ่งเมื่อยังเรียนชั้นประถมศึกษา ทางโรงเรียนพาไปเข้าแคมป์ลูกเสือที่หัวหิน
ผมมีเงินติดตัวไปเพียง 10 บาท เพราะเกรงใจไม่กล้าขอคุณพ่อมากกว่านี้
ระหว่างที่เข้าค่ายก็ซื้อขนมกินจนเงินหมด เมื่อถึงวันกลับ
หลังจากทานข้าวเช้าแล้ว ก็ขึ้นรถรอนแรมเดินทางกลับกรุงเทพฯ
สมัยนั้นยังไม่มีถนนธนบุรี-ปากท่อ หรือถนนพระราม 2 อย่างในปัจจุบัน
ต้องไปอ้อมผ่านนครปฐม ถนนหนทางก็ยังไม่ดี กว่าจะถึงโรงเรียนที่กรุงเทพฯ ก็บ่ายแก่ๆ
ผมไม่มีเงินเหลือซื้ออาหารกลางวันและไม่มีค่ารถกลับบ้าน
แต่ผมก็ไม่เอ่ยปากหยิบยืมจากเพื่อนหรือคุณครู ยืดอกสูดลมหายใจ
แล้วก็เดินเท้ากลับบ้านด้วยความสงบ
ผมเข้มงวดกับตัวเอง แต่ไม่ได้แห้งแล้งน้ำใจต่อผู้อื่น มีเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ธรรมศาสตร์
ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ตอนนั้นผมทำงานมีรายได้แล้ว ก็ให้เขาหยิบยืมไปลงทะเบียน
แต่ปรากฏว่าจนกระทั่งบัดนี้ เขาก็ไม่เคยนำเงินมาใช้คืน
ผมจึงอยากให้เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์แก่พวกเราทุกคนว่า
อย่ามีน้ำใจจนตัวเองเดือดร้อน
อย่าให้ใครหยิบยืมเงินจนเกินกำลัง
และที่สำคัญที่สุด อย่าไปค้ำประกันให้ใคร
เพราะถ้าเราให้ใครยืมเงินแล้วเขาไม่ใช้คืน ก็แค่หนี้สูญ
แต่ถ้าเราไปค้ำประกันใคร แล้วเขาหนีไป
เราก็ต้องกลายเป็นลูกหนี้ในจำนวนเงินที่เราอาจจะรับไม่ไหว
ต้องทุกข์กายทุกข์ใจไม่สิ้นสุด
พนักงานของเราที่อยู่วัยหนุ่มสาวกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ต้องฝึกวินัยให้หัวใจตัวเอง
ต้องรู้จักอดทนรอคอย อย่าใจเร็วด่วนได้ เอาเงินในอนาคตมาใช้จนหมดในปัจจุบัน
ค่านิยมของสังคมไทยที่ไม่ดีก็คือ นิสัยขี้โอ่ โอ้อวดทำให้ต้องมีรายจ่ายเกินฐานะ
เพื่อพยุงภาพของเกียรติยศจอมปลอมเอาไว้ ทั้งๆ ที่เกียรติยศที่แท้จริงคือ
การสร้างเกียรติคุณให้แก่ชีวิตโดยการสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่โลกใบนี้
ไม่ใช่อยู่ที่ขับรถยี่ห้ออะไร หรือใช้กระเป๋าใบละเป็นหมื่นเป็นแสน
ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุ
เพราะคนที่ร่ำรวยจนสามารถซื้อเตียงทองคำฝังเพชร
ก็ไม่อาจซื้อการนอนหลับอย่างเป็นสุขได้ !!!
อย่าเป็นหนี้ แล้วเราจะหลับสบายได้ทุกคืน
แม้จะนอนหลับบนพื้นไม้กระดานธรรมดาก็ตาม !!!
โดย คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์

สิ่งที่ควรทำ ก่อนอายุ 40 ปี


1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอเพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมากพอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมันจะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นรถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด


7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมดโดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรกสู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทางรู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งานเพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียวเพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามาจงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัวให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาวเพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาวเพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขาแต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็นพ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบกโลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอมตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป