วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รู้สึกอย่างไรกับการถูกมองว่าทำงานไม่ฟิตเหมือนเดิม O_O!



วันนี้...หลังจากเลิกงาน  ผมก็ถูกทักว่า  "ช่วงนี้เป็นอะไร? คุณทำงานดูหน่วง ๆ ไปนะ!" จริง ๆ ผมก็คิดในใจอยู่แล้วว่า  ผมต้องถูกถามเข้าสักวัน  วันนี้ก็เป็นไปตามคาดจริง ๆ  ผมก็เลยตอบไปว่า  เพราะเป็นงานใหม่ก็เลยต้องใช้เวลาเรียนรู้  ส่วนงานอื่น ๆ ผมรอทีมที่ว่างบางเวลามาช่วยทำงาน  ประมาณนั้นครับ

จริง ๆ แล้ว  เหตุผลต่าง  ๆ ที่อยู่ในใจสามารถแตกประเด็นได้ประมาณนี้ครับ

ช่วงปีแรกของการทำงาน  เราออกสตาร์ทอย่างรวดเร็ว
ปีแรกของการทำงานใคร ๆ ก็กระตือรือร้นตนเอง  เพื่อเรียนรู้งานใหม่ให้เข้าใจมากที่สุด  แต่เมื่อเวลาผ่านไปงานดังกล่าวเราเรียนรู้ได้มากแล้ว  แต่ยังขาดทีมงานมาช่วยทำงานในส่วนนี้  ก็เลยดูเหมือนหน่วง ๆ ไม่ฟิตเหมือนปีแรก ๆ  (จริง ๆ แล้วผมก็เหนื่อยด้วยล่ะครับ  เพราะเท่าที่ดูเหมือนผมจะออกตัวแรงมากกว่าคนอื่น ๆ ในฝ่าย)


การทำงานบางอย่างต้องรอทีมงาน
เนื่องจากงานของผมบางส่วนต้องรอให้ทีมงานนั้นว่าง  หรือ  ทีมงานนี้ว่าง  จึงต้องจัดการเวลาว่างให้เข้ากับงานของผมซึ่งมือฝ่ายควบคุมกระบวนการช่วยประสานงาน  มันเป็นงานที่ดูเหมือนว่าอะไร ๆ ก็ต้องรอไปหมด  

ทำงานโครงการใหม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้
แน่นอนว่างานใหม่ ๆ มันจะช้าตรงที่เวลาค้นคว้าหาข้อมูลพื้นฐานเพื่อใช้เป็นแนวทางการทำงาน  การปรึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานโครงการให้สำเร็จ  แต่คนที่จะให้เราไปปรึกษาก็มีงานของเขา  บางครั้งอาจจะไม่มีเวลาให้คำปรึกษา  งานก็เลยช้าไปสักพัก  พอไปปรึกษาอีกคนหนึ่งก็อธิบายเข้าใจยากมาก...ก็ทำให้ผมต้องสรุปประเด็นอีกครั้ง

ด้วยเหตุผลดังกล่าวและอีกหลาย ๆ สิ่งที่ไม่ได้กล่าวไว้ในที่นี้  ทำให้ผมดูเหมือนจะทำงานหน่วง ๆ ไม่ฟิตเหมือนปีแรก ๆ  เพราะว่าคนเราจะใช้สิ่งที่เห็นครั้งแรกเป็นมาตรฐานในการสังเกตตัวเรา  จำไว้เลยนะครับ  สำหรับคนที่ทำงานปีแรก ๆ ถ้าไม่อยากเหนื่อย  ก็อย่าตื่นตัวมากนัก  เอาพอประมาณ  สังเกคนและบรรยากาศรอบข้างให้ดี  แล้วเอามากำหนดการเพิ่มงานของเราต่อไป  เค้าจะได้ไม่มองเราว่าทำงานต่ำกว่าช่วงแรก ๆ   ประมาณว่า  "แรงตก"  นั่นเองละครับ

แง่คิดวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้  เดี๋ยววันหน้าผมจะเอาประเด็นปัญหาต่าง ๆ มาเล่าให้อ่านกันอีกนะครับ  ขอบคุณที่ติดตามครับ  ^_^

วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เคยทำงานคนเดียวบ้างไหม ?


คำถามนี้อาจโดนใจหลาย ๆ คน  เพราะว่าการทำงานในปัจจุบันนี้ไม่ค่อยเห็นการทำงานร่วมกันเป็นทีมสักเท่าไร  อาจจะมีบ้างแต่คงน้อยนิด  ส่วนใหญ่การทำงานอาจถูกแบ่งตามหน้าที่อยู่แล้ว  จากนั้นระบบงานจะถูกรวมในตัวมันเอง  แต่ถ้าหากไม่ได้กำหนดสัดส่วนงานให้คล้องจองกันล่ะ  จะเกิดอะไรขึ้น??

เกิดงานมั่ว ยังไงล่ะ !!!

เป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วว่า  ลูกน้องจะไม่รู้ขอบเขตงานของตนเอง  บางครั้งอาจรองานจากหัวหน้าสั่งมา  แต่บางทีลูกน้องอาจทำให้ไม่ดี  "ตามใจสั่งมา"  ก็เป็นได้   


งานลักษณะนี้จะทำให้เกิดความคลุมเครือในการทำงาน  ในแง่มุมหนึ่งอาจจะดูดีว่า  จะช่วยกันทำงานเป็นทีม  แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้น  อีกมุมมองหนึ่งอาจเกิดการเห็นแก่ตัวก็เป็นได้  เช่น  คนนั้นทำมากกว่าคนนี้  แถมยังต้องช่วยคนนั้นอีก  เฮ่อ...  ประมาณนี้

งานแบบี้จะโทษใครไม่ได้   ถ้าโทษก็ต้องโทษองค์กรที่ไม่กำหนดงานให้ชัดเจนตั้งแต่แรก  จึงส่งผลกระทบต่อการทำงานของลูกน้อง  และอาจส่งผลต่อ ๆ ไปยังส่วนงานอื่น ๆ ในองค์กรอย่างแน่นอน  เพราะจากการทำงานมานั้น  จะได้ยินอยู่บ่อย ๆ ว่า  

ระบบงานไม่ดี  ก็เลยทำให้  ผลงานของแต่ละฝ่ายออกมาไม่ดี

วันนี้ผมก็เอาเรื่องจริงมาเล่าเพียงเท่านี้  เพื่อนคิดเห็นอย่างไร  ช่วยมากระหน่ำ  Comment กันได้ที่นี้เลยนะครับ  ^_^

วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Agoda Smarter Hotel Booking ใช้ง่าย ครอบคลุมจักรวาล

หลังจากทำงานมาได้ 1 ปี  ปีต่อไปตั้งเป้าหมายในชีวิตโดยมีโครงการที่อยากทำก็คือ  "การเดินทางท่องเที่ยว" นั่งคิดอยู่นานว่าจะหาตัวช่วยจากไหนดีที่ทำให้เรารู้ข้อมูลโรงแรม ที่พัก ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวนั้น  วันนี้ผมได้เจอของดีเข้าแล้ว.. อิอิ  ^_^

Agoda เป็นแอฟหนึ่งที่ราควรมีติดมือถือไว้  เพราะว่าเวลาเดินทางไปที่ต่างๆ เราอาจต้องการที่พักในขณะนั้น  จริงๆ แล้วมีแอฟคล้ายกันนี้อยู่สองสามค่าย  คือ  booking  ส่วนอีกอันผมจำไม่ได้ครับ  หุหุ..

คาดว่าคงเป็นประโยชน์  ต่อเพื่อนๆ นะครับ

ไทยแบมบู เกสท์เฮาส์ รีสอร์ท จ.เพชรบุรี













ที่อยู่  100 ม.9 บ้านเขาโป่ง ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบูรี

Amphoe Cha-Am, Phetchaburi, Thailand 76120

โทร. 094 440 2230

เวลาทำการ 8:00 - 22:00

ราคา  900-1350 บาท

https://www.facebook.com/chaamhotel


it looks like more and more guest like to rent the whole resort! So we offer for you 4 bungalows and 3 rooms in the main house....all rooms with aircon! We have beds for 15 person and can arrange some more beddings on a sofa! So max. person can stay in the resort = 22 person! The price for the whole resort just 10.000,-baht a day! Use all facilities and even bring your own food and drinks...please make your reservation early!!

หาหนังสือดี ๆ อ่านประกอบการทำงานที่ไหนดี ?


ตอนสมัยเรียนมหาลัย  พากันอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วงเพื่อหวังว่าจะต้องผ่านการสอบรายวิชานั้นให้ได้  แต่เมื่อจบออกมาทำงาน  การอ่านหนังสือเพื่อสอบให้ผ่านจะไม่มีบรรยากาศแบบนั้นหลงเหลือแต่อย่างใด  แต่จะมีเป้าหมายในอีกเส้นทางหนึ่งก็คือ  

"การอ่านหนังสือเพื่อให้ทำงานสำเร็จ"  

ด้วยปัจจัยเหล่านี้เองที่ทำให้ผมต้องแสวงหาหนทางดับทุกกข์...เย๊ยยย... หนทางสว่างต่างหากล่ะ ^_^  ก็เพื่อให้เราทำงานนั้นได้สำเร็จ  และมีแบบแผนในการทำงานอื่น ๆ ต่อไป  

ในส่วนงานของผม  ทำเกี่ยวกับงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า  แต่ด้วยตำแหน่งงานประกอบกับระบบและโครงสร้างของบริษัท  จึงทำให้ผมต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา  กลายเป็นว่าสิ่งที่เรียนมานั้น  มันไม่เพียงพอกับการทำงาน  เฮ่อ.. !!  (T_T)  ไม่ว่าจะเป็นร้านหนังสือ  หรือ  สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ผมค้นหาข้อมูลอย่างเต็มที่เพื่อให้พบหนังสือที่โดนใจ   


วันนี้ผมก็ขอแนะนำเว็บไซต์ของ  สำนักพิมพ์  วิทยพัฒน์ จำกัด  ซึ่งเป็นงานเขียนที่ละเอียดถี่ถ้วนเหมาะสมกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง  แถมยังมีเนื้อหาเหมาะกับการเรียน ป.ตรี  โท เอก  อีกด้วย  ซึ่งต่างจากหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ผมเคยคลุกวงในมา  บางเล่มไม่บอกที่มาที่ไป  ต้นตอมากไหน  แนวคิดเป็นอย่างไร  ทำให้เราเข้าใจยากต่อการประยุกต์ใช้งาน  สำหรับสำนักพิมพ์  วิทยพัฒน์  ก็ทำให้ผมได้เติมเต็มในชีวิตทำงานของผมได้เป็นอย่างดี 
ปล. ผมเขียนแนะนำในบทความนี้  ไม่ได้รับค่าตอบแทนแต่อย่างใด  นำมาบอกเพื่อน ๆ เผื่อจะได้เติมเต็มชีวิตไปด้วยกัน  ขอบคุณครับ  



เข้าชมเว็บไซต์

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คุณชอบทำงานในร้านกาแฟไหม?

ผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบทำงานในร้านกาแฟ อาจด้วยเหตุผลของบรรยากาศสบายๆ กลิ่นหอมกรุ่นของกาแฟ หรือเสียงคนคุยกันเบาๆ 

กลางปีที่แล้วมีการวิจัยชื่อ "Is Noise Always Bad? Exploring the Effects of Ambient Noise on Creative Cognition." ที่จัดทำโดย Ravi Mehta เพื่อศึกษาว่า เสียงจากบรรยากาศรอบตัวมีผลต่อการทำงานของสมองอย่างไร

ผลลัพธ์ได้ออกมาว่า ระดับเสียงรอบตัวที่ทำให้สมองทำงานมีประสิทธิภาพมากที่สุดอยู่ที่ประมาณ 70 เดซิเบล ในขณะที่ระดับเสียงเบาประมาณ 50 เดซิเบล หรือดังประมาณ 85 เดซิเบล ไม่เกิดผลดีต่อการทำงานของสมอง

การวิจัยนี้สรุปผลว่า ครั้งหน้าถ้าคุณเกิดคิดอะไรไม่ออก ไอเดียตีบตัน จงมุ่งหน้าไปที่ร้านกาแฟ ไม่ใช่ห้องสมุด หรือแทนที่จะฝังตัวอยู่ในห้องเงียบๆ คนเดียว ลองเดินออกจากคอมฟอร์ตโซน ไปยังสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังระดับพอดี จะช่วยให้สมองของคุณคิดสร้างสรรค์ได้ดีขึ้น

ผลวิจัยนี้คงทำให้ใครหลายคนพยักหน้าหงึกๆ (โดยเฉพาะเหล่าฟรีแลนเซอร์หรือคนทำงานอิสระ) เพราะมีข้ออ้างที่จะออกจากบ้าน แต่เชื่อเถอะครับว่าผลวิจัยนี้เป็นแค่ปัจจัยเสริมเท่านั้น สาเหตุจริงๆ ที่คนทำงานอยู่บ้านกันไม่ค่อยได้


เป็นเพราะ "ความเหงา" ต่างหาก

Forrester Research ได้ทำการสำรวจพบว่า ปัจจุบันมีผู้ทำงานอิสระมากกว่า 375 ล้านคนทั่วโลก ถ้าให้เดา เกือบครึ่งน่าจะเป็นคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 20-35 ปี

Genevieve DeGuzman หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ "Working in the UnOffice" แจกแจงข้อดีของการทำงานที่บ้านต่อไปนี้ 

ความยืดหยุ่นสูง ตั้งตารางเวลา เลือกสถานที่ทำงานและวิธีการทำงานของตัวเองได้

การเดินทางที่น้อยลง ไม่ต้องเดินทางไปทำงานไกลๆ ไม่ต้องหงุดหงิดกับรถติด

ลดค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ จะประหยัดค่าใช้จ่ายการเช่าออฟฟิศได้มาก

แต่กระนั้นเอง แม้จะเป็นการทำงานที่ไม่มีหัวหน้า ไม่มีออฟฟิศ แต่ผลการสำรวจพบว่าคนทำงานอิสระส่วนใหญ่เลือกที่จะแต่งตัวไปร้านกาแฟมากกว่าที่จะนอนทำงานอยู่บ้าน DeGuzman ได้ตั้งข้อสังเกตถึงข้อเสียของการทำงานที่บ้านไว้หลายข้อ เช่น

ทำให้เกิดอาการขี้เกียจ เพราะมีสิ่งที่รบกวนสมาธิมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่ต้องซักหรือโซฟาที่น่าเอนนอน

ทำงานมากเกินไป แบ่งแยกความเป็นบ้าน และที่ทำงานไม่ออก

ข้อสุดท้ายเธอเขียนว่า ทำงานอย่างโดดเดี่ยว บางครั้งอาจรู้สึกเหงา หรือห่างเหินจากสังคม หรือที่เรียกกันว่า Freelance Isolation

แต่แม้ร้านกาแฟจะเป็นหมุดหมายของคนทำงานอิสระ ทว่า หลายๆ ครั้งก็ต้องยอมรับว่ามันไม่สะดวกเอาเสียเลย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสัญญาณอินเตอร์เน็ตที่ไม่แน่นอนความปลอดภัยของการทำงานในที่สาธารณะที่มีคนพลุกพล่านตลอดเวลา ต้องลุ้นทุกครั้งว่าจะหาโต๊ะใกล้ปลั๊กไฟได้หรือไม่ หรือการที่ทางร้านอยากจะไล่คนที่ไม่ค่อยสั่งอะไรทาน เพื่อให้มีการหมุนลูกค้ามากขึ้น

แล้วในที่สุดก็มีการค้นพบจุดตรงกลางระหว่างร้านกาแฟและบ้าน 

สิ่งนั้นเรียกว่า coworking space หรือ พื้นที่ที่ใช้ทำงานร่วมกันของคนที่มาจากต่างสายงาน อาจมีลักษณะเป็นสำนักงานทั่วไป โฮมออฟฟิศ หรือห้องทำงานเล็กๆ

แต่จะแตกต่างจากการทำงานในออฟฟิศทั่วไปคือ ทุกคนทำงานอิสระ ไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบทำงานเป็นรูทีน หรือตอกบัตรเข้าออฟฟิศ เช่น ดีไซเนอร์ นักพัฒนาโปรแกรม ผู้ประกอบการใหม่ นักเขียน 

coworking space แห่งแรกของโลกก่อตั้งโดย Brad Neuberg ในเมืองซานฟรานซิสโก ชื่อ The Hat Factory ซึ่งเป็นที่พบปะของนักเขียนด้านไอที 3 คน แต่ไปๆ มาๆ ก็เริ่มมีคนแวะเวียนมานั่งทำงานด้วย

จนในที่สุด Brad จึงจับมือกับเพื่อนๆ ก่อตั้ง Citizen Space ซึ่งเป็น Coworking Space แห่งแรกที่ตั้งขึ้นสำหรับนั่งทำงานจริงๆ

coworking space ส่วนมากจะมีโต๊ะหรือบริเวณทำงานส่วนตัวที่สามารถมาเช่าเฉพาะเวลาหรือเต็มเวลาก็ได้ (ค่าบริการต่อวันทั่วไปจะเท่ากับกาแฟสตาร์บัคส์ 2 แก้ว) มีอุปกรณ์สำนักงานหรือสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ไว้ใช้ร่วมกันได้ เช่น เครื่องดื่ม ปริ๊นเตอร์ สัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ห้องประชุม ครัว บริเวณพักผ่อน ไปจนถึงโต๊ะปิงปอง! 

ปัจจุบันกระแส coworking space กำลังบูมอย่างมากสำหรับคนรุ่นใหม่ในต่างประเทศ มีอัตราการเติบโตต่อปีสูงเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ 5 ปีติดกัน ในนครนิวยอร์กมี coworking space มากกว่า 60 แห่งเช่นเดียวกับอีก 6 ทวีปทั่วโลกที่คาดว่าน่าจะมีจำนวนมากกว่า 2,000 แห่ง

ความพิเศษอีกอย่างของ coworking space คือ "ชุมชน"

ด้วยบรรยากาศสบายๆ ไม่ซีเรียสเกินไป และเต็มไปด้วยคนรุ่นใหม่ที่มีหัวคิดคล้ายกัน ทำให้โอกาสที่แต่ละคนจะหันหน้าคุยกันมีมากกว่า ยิ่งส่วนใหญ่เป็นคนทำอาชีพอิสระที่มีความเชี่ยวชาญหลากหลาย ก็ยิ่งเกิดการแลกเปลี่ยนความคิด หรือร่วมมือกันสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆ

พูดง่ายๆ ว่าคุณอาจได้เพื่อนใหม่ที่นี่นั่นเอง

ผมได้ยินข่าว coworking space สักพักแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงลองหิ้วโน้ตบุ๊กไปใช้บริการดูบ้าง 

ใช่ครับ ตอนนี้ในกรุงเทพฯ ก็มี coworking space กับเขาแล้วนะ 

สถานที่ที่ผมไปชื่อ HUBBA อยู่แถวเอกมัย ลักษณะเป็นโฮมออฟฟิศ มีสวนหย่อมเล็กๆ น่ารัก (และแทรมโบลินให้คลายเครียด!) บรรยากาศข้างในสบายๆ เป็นกันเอง ตกแต่งเรียบๆ เหมาะแก่การนั่งทำงาน มีหลายห้องให้เลือกใช้ 

HUBBA มาจากคำว่า HUB ที่หมายถึง ศูนย์กลาง ส่วนคำว่า BA คือคำว่า บ้า ตรงตัวภาษาไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์กวนๆ ว่า You"ll never work alone หรือ คุณจะไม่มีวันทำงานเดียวดาย

ผมจ่ายเงิน 265 บาท แลกกับโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำงานได้ทั้งวัน วันที่ผมไปเป็นวันหยุด จึงมีคนมาใช้บริการค่อนข้างหนาตา ถึงแม้วันนั้นผมจะไม่ได้คุยกับใครเลย แต่ก็รู้สึกดีกับบรรยากาศลักษณะนี้ 

ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเราไม่สามารถทำงานที่บ้านคนเดียวนานๆได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเจ้าความขี้เหงาของคนรุ่นใหม่เกิดจากอะไร คนสมัยก่อนเวลาต้องทำงานคนเดียวเขารู้สึกเหงากันบ้างไหมนะ 

แต่ผมมั่นใจลึกๆ ว่า เหตุผลหนึ่งที่ coworking space เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่ เพราะมันเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกว่า อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ทำงานเดียวดาย

ล่าสุดมีคนคิดค้นเว็บไซต์ชื่อ www.coffitivity.com ที่อัดเสียงบรรยากาศจากร้านกาแฟจริงๆ มาให้โหลดฟังฟรีบนอินเตอร์เน็ต มีไฟล์เสียงให้เลือกหลายแบบ เช่น ร้านกาแฟยามเช้า ร้านกาแฟช่วงเที่ยง หรือร้านกาแฟในมหาวิทยาลัย 

นั่งทำงานอยู่บ้านคนเดียว ฟังเสียงร้านกาแฟเพื่อที่จะได้รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

มันอาจช่วยให้สมองทำงานดีขึ้นเพราะระดับเสียง 70 เดซิเบลตามผลวิจัย แต่สำหรับผม เรื่องนี้ทำให้รู้สึกเหงาๆ ยังไงชอบกล

สำนักงาน ก.พ. จะเปิดรับสมัครสอบ ภาค ก. 2557 !!!

สำนักงาน ก.พ. จะเปิดรับสมัครสอบเพื่อวัดความรู้ความสามารถทั่วไป ประจำปี 2557 ตัังแต่วันที่ 4-24 มี.ค. 57 ทางอินเทอร์เน็ต ผู้สนใจดูรายละเอียดและกรอกใบสมัครได้ที่เว็บไซต์ http://job3.ocsc.go.th


อดใจรอกัน...นิสนุง...นะครับ
^_^

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ความสามารถในการมองเห็นภาพของคอมพิวเตอร์ (Computer Vision Technology)

 


ในศาสตร์ทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ บางท่านอาจจะเข้าใจว่าเป็นศาสตร์ที่ไม่มีแยกสาขาย่อยไปอีกแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มีการแยกย่อยลงไปอีกเป็นจำนวนมาก อาทิ วิศวกรรมซอฟต์แวร์ (Software Engineering) การรักษาความปลอดภัยบนเครือข่าย (Network Security) การรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition) คอมพิวเตอร์กราฟิก (Computer Graphics) และอื่นๆ วันนี้ผมจะพูดถึงเทคโนโลยีตัวใหม่ที่อยู่ในศาสตร์ทางด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์อีกตัวที่เรียกว่า Computer Vision 

ก่อนอื่นเรามาเข้าใจความหมายกัน ก่อนว่า Computer Vision นี่มันคืออะไร ถ้ามองไปที่ความหมายทีละตัว Computer ก็คือคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปเลยนั่นเอง แต่ในส่วน Vision เป็นคำนามแปลว่า ความสามารถในการเห็นภาพ หรือพจนานุกรมบางเล่มก็จะแปลว่าวิสัยทัศน์ ซึ่งในที่นี้ผมขอแปลง่ายๆ ว่า คือความสามารถในการมองเห็นภาพหรือเข้าใจภาพ 

เมื่อเอาสองคำมาบูรณาการกัน ในภาษาไทยเรียกง่ายๆ ว่า คอมพิวเตอร์วิทัศน์ ซึ่งก็คือเทคโนโลยีการทำให้คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการมองเห็นภาพหรือเข้าใจภาพ หมายความว่าอย่างไร อธิบายเป็นหลักการง่ายๆ ก็คือเวลามนุษย์เราใช้ตามองไปที่ฉากๆ หนึ่ง เช่น เรามองไปที่วิวในห้อง เราสามารถรับรู้ได้เลยว่า นี่คือโต๊ะ เก้าอี้ ตู้เย็น หรือถ้าเรามองไปที่ถนน เราก็รับรู้ได้ว่ามีรถวิ่งอยู่ มีคนเดินอยู่ที่ทาง เดิน ที่เรารับรู้ได้เพราะว่าเรามีตาในการมอง และมีสมองในการประมวลผลว่า นี่คือวัตถุ ต่างๆ แต่สำหรับคอมพิวเตอร์ มันไม่ง่ายอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงเกิดศาสตร์ด้านวิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ ที่เราเรียกว่า Computer Vision นั่นก็คือการทำให้คอมพิวเตอร์ได้รับรู้ภาพหรือมองเห็นภาพได้เหมือนมนุษย์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำการดึงข้อมูลสารสนเทศจากรูปภาพออกมานั่นเอง 


หลักการง่ายๆ ก็คือ ก่อนอื่นต้องติดตาให้กับคอมพิวเตอร์ ซึ่งตาของคอม พิวเตอร์จะเป็นอะไรไม่ได้นอกจากกล้องนั่นเอง กล้องนี้แหละก็เปรียบได้เหมือนตาของมนุษย์เรา และสิ่งถัดมาก็คือเราจะต้อง สอนให้คอมพิวเตอร์รู้จักคำจำกัดความของวัตถุต่างๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ก็เปรียบได้เหมือนกับสมองของมนุษย์ 

ยกตัวอย่างเช่น ที่เราเข้าใจและตี ความภาพต่างๆ ได้ว่า อันนี้คือโต๊ะ ตู้เย็น รถยนต์ ก็เพราะเรามีสมองคอยประมวลผล ว่าโต๊ะ ควรจะมีขาโต๊ะ มีที่วางของ ส่วนตู้เย็นจะเป็นตู้สี่เหลี่ยม มีที่เปิด รถยนต์ควรจะมีล้อรถสี่ล้อ มีประตู มีตัวถัง มีฝากระโปรงรถ ซึ่งสมองของเราจริงๆ แล้วเรา ก็รับรู้เรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ว่านี่แหละ คือ วัตถุต่างๆ พวกนี้ ซึ่งความยากของคอมพิวเตอร์วิทัศน์ก็คือทำอย่างไรให้คอมพิวเตอร์เข้าใจได้เหมือนหรือดีกว่าสมองมนุษย์ที่สามารถเข้าใจภาพต่างๆ ได้ 

เครื่องมือที่ใช้ใน Computer Vision หรือสมองที่เราจะใส่ให้คอมพิวเตอร์ หลักๆ เลยจะหนีไม่พ้นองค์ความรู้ทางคณิตศาสตร์ อาทิ เรขาคณิต พีชคณิตเชิงเส้น สถิติ การวิเคราะห์เชิงฟังก์ชัน (Functional analysis) และการหาค่าเหมาะที่สุด (Optimization) โดยเครื่องมือเหล่านี้ใช้ในการสร้างขั้นตอน วิธีต่างๆ ในการแยกองค์ประกอบของภาพ แยกส่วนของภาพ และการจัดกลุ่มภาพเพื่อ ให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจภาพนั้นๆ ได้ 

ผู้อ่านหลายท่านอาจจะยังจินตนาการตามไม่ทัน ผมขอยกตัวอย่างให้ชัดเจน มากยิ่งขึ้นซึ่งก็คือ งานวิจัยด้าน Computer Vision ที่มีชื่อเสียงมากในช่วงที่ Computer Vision กำลังเริ่มได้รับความนิยมใหม่ๆ ใน ปลายศตวรรษที่ 20 ก็คืองานวิจัยที่มีชื่อว่า “Finding Naked People” หรือที่แปลเป็น ภาษาไทยว่า การค้นหาคนเปลือยกาย บางคนฟังชื่อหัวข้องานวิจัยนี้ อาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขำ แต่งานวิจัยนี้ได้เป็นงานวิจัยของศาสตราจารย์ ดร.David Forsyth จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กลีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้ตีพิมพ์ในงานประชุมวิชาการ ECCV (IEEE European Confe-rence on Computer Vision) ที่มีชื่อเสียง มากอันหนึ่งด้าน Computer Vision 

ศาสตราจารย์ ดร.David Forsyth อธิบายการหาคนในรูปภาพ โดยคนนั้นไม่ใช่ คนใส่เสื้อผ้าธรรมดา แต่เป็นคนที่เปลือยกายทั้งชายและหญิง โดยใช้สมการคณิตศาสตร์ชั้นสูงในการอธิบาย ซึ่งอาจจะนับเป็นงานวิจัยวิชาการไม่กี่ชิ้นในโลกวิศวกรรม คอมพิวเตอร์ที่ประกอบไปด้วยภาพเปลือยเปล่าของชายหญิงในอากัปกิริยาท่าทางต่างๆ อยู่เต็มเปเปอร์ ซึ่งถ้ามองในแง่มุมวิชาการและผลที่ได้รับของงานวิจัยแล้ว สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง อาทิ การที่เราจะกรองภาพเปลือยของมนุษย์ไม่ให้ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์หรือฐานข้อมูลของเรา ซึ่งถ้าในเว็บไซต์หรือฐานข้อมูลของเราไม่ใหญ่ เราอาจใช้มนุษย์ในการกรองภาพเหล่านี้เพื่อเซ็นเซอร์ (Censor) รูปพวกนี้ไม่ให้ปรากฏสู่สาธารณะได้ แต่ถ้าเรามีฐานข้อมูลรูปจำนวนมากเป็นล้านๆ รูป เราไม่สามารถให้คนหรือมนุษย์มากรอง ได้ ถึงทำได้ก็คงใช้คนเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็คงไม่คุ้ม ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ว่านี่คือรูปเปลือยของชาย นี่คือรูปเปลือยของหญิง เราก็สามารถลดค่าใช้จ่าย ลดเวลาในการกรองหรือเซ็นเซอร์ภาพพวกนี้ออกไปได้อย่างรวดเร็วอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งงานวิจัยนี้ก็สามารถเอาไปใช้งานได้ในส่วนนี้นี่เอง? 

ในศตวรรษที่ 21 Computer Vision เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเราหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขั้น อาทิ การค้นหาสืบค้นข้อมูลด้วยรูปภาพ การระบุตำแหน่งวัตถุที่ต้องการในภาพ การติดตามวัตถุในภาพต่อเนื่อง (Tracking) หรือรวมถึงการไปประยุกต์ใช้ใน Application ต่างๆ 

ผมขอยกตัวอย่างงานวิจัยด้าน Computer Vision ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งที่เพิ่งออกมาเป็น Application ใหม่ของบริษัท Google นั่นก็คือการใช้ Computer Vision เพื่อแก้ปัญหาในเกม Sudoku 

หลักการง่ายๆ ก็คือ การใช้กล้องที่ติดอยู่ที่โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปตารางเกม Sudoku และระบบจะทำการสแกนหาเส้นตารางในเกม Sudoku ทั้งแกนตั้งและแกน นอน ทันทีที่หาตารางเจอก็จะทำการค้นหา ตัวเลขในตาราง และเมื่อหาตัวเลขในตาราง ได้แล้ว ก็ทำการคำนวณหาตัวเลขที่ควรจะเติมลงไปในเกม ซึ่งทำได้อย่างรวดเร็ว Google ทำการโฆษณา Product ชิ้นนี้โดยการหาผู้ชนะเลิศที่เก่ง Sudoku ที่สุดในประเทศมา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์ที่เก่ง Sudoku ที่สุดในประเทศ มาทำการแข่ง Sudoku กับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใส่เข้าไปในโทรศัพท์มือถือที่ผลิตโดย ทีมงาน Google Goggles (เป็นทีมงาน Google ที่มุ่งเน้นไปที่งานวิจัยทาง Image Recognition บนโทรศัพท์มือถือ) และแน่นอนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของ Google ชนะมนุษย์ขาดลอย 

อย่าลืมนะครับ ต่อไปใครถามคุณผู้อ่านว่า อะไรคือ Computer Vision อะไรคือคอมพิวเตอร์วิทัศน์ อย่าลืมอธิบายให้เขา ฟังดังๆ เลยครับ จะได้รู้ว่าคุณผู้อ่านไม่ได้ตกเทรนด์ด้านเทคโนโลยี 

ในครั้งหน้า ผมจะนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาแชร์กับคุณผู้อ่านอีก รับรองเลยครับว่า เทคโนโลยีกับชีวิตประจำวันจะไม่ใช่เรื่องไกลตัวพวกเราอีกต่อไป




การบริหารทรัพยากรมนุษย์แบบญี่ปุ่น ทำอย่างไร ?


หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นซึ่งอยู่ในสภาพที่สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ปัจจัยการผลิตทุกประเภทไม่อยู่ในฐานะที่จะเอื้ออำนวยต่อการพัฒนาประเทศได้แต่ชาวญี่ปุ่นก็มิได้ท้อถอยช่วยกันทำงานเพื่อเพิ่มผลผลิตของประเทศให้สูงขึ้น

จะเห็นได้ว่าในระยะ 30 ปีหลังนี้ประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการขาดงานต่ำ อัตราการเข้าออกจากงานประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัทอเมริกัน  พนักงานของบริษัทญี่ปุ่นจะมีความผูกพันกับบริษัทสูง

จากการที่ประเทศญี่ปุ่นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการบริหารงาน จึงทำให้การบริหารงานระบบญี่ปุ่นเป็นที่สนใจแก่คนทั่วไปทั้งในแง่ของการจ้างงานแบบตลอดชีพ การตัดสินใจแบบมีส่วนร่วม  เป็นต้น

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเพียงลักษณะพิเศษลักษณะหนึ่งของการบริหารงานระบบญี่ปุ่นเท่านั้นซึ่งจะมีความแตกต่างไปจากระบบการบริหารงานระบบอื่นๆ ทั้งในแง่ของโครงสร้างขององค์การและกระบวนการในการบริหาร โดยเฉพาะกระบวนการในการบริหารนี้

การบริหารงานระบบญี่ปุ่นจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ใน 3 ลักษณะ คือ
  1. รูปแบบของการบริหาร
  2. วิธีการในการบริหาร
  3. กลยุทธ์ในการบริหาร
รูปแบบของการบริหาร

ปรัชญาการบริหารงานระบบญี่ปุ่นนั้นจะให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ใน 3 ลักษณะ คือ


  1. การสร้างทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์การ วิธีการนี้จะทำให้ได้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพที่องค์การต้องการและเป็นการชักจูงให้เขาอยู่กังองค์การนาน ๆ
  2. ปรัชญาการบริหารงานของบริษัทที่เน้นให้ความสนใจถึงความต้องการของพนักงานและการทำงานเป็นทีม
  3. ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับการจ้างงานแบบตลอดชีพ เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกบุคคลที่มีคุณสมบัติที่บริษัทต้องการไปจนถึงชีวิตการเป็นพนักงาน และเมื่อถึงเวลาปลดเกษียณ
ปรัชญาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ทั่ว ๆ ไปนี้ จะถ่ายทอดต่อไปเรื่อย ๆ ภายในองค์การซึ่งผู้บริหารแต่ละระดับก็จะรับมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นเทคนิคพิเศษของการจัดการโดยเน้นให้ความสำคัญที่การพัฒนาทักษะของพนักงานอย่างต่อเนื่อง การเลื่อนตำแหน่งจะมีความสำคัญอันดับรองลงมา พนักงานจะถูกประเมินผลการทำงานในลักษณะของการทำงานเป็นทีมมากกว่าตัวบุคลมีการติดต่อสื่อสารแบบเปิด การให้ความช่วยเหลือและการให้รางวัล การตัดสินใจจะใช้วิธีให้ทุกคนมีส่วนร่วม โดยจะมีการให้ข้อมูลแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาปรึกษาหารือกันก่อนที่จะทำการตัดสินใจผู้บังคับบัญชาจะให้ความสนใจในตัวของพนักงานทุก ๆ คน

กลยุทธ์ในการบริหาร

องค์การเป็นเสมือนตลาดแรงงานภายใน ในองค์การของญี่ปุ่นขนาดใหญ่ ๆ จะเป็นประเพณีว่าจะมีการว่าจ้างพนักงานผู้ชายตั้งแต่จบจากสถาบันการศึกษาใหม่ ๆ และคาดว่าเขาจะอยู่ทำงานกับองค์การไปจนปลดเกษียณ นโยบายการจ้างงานแบบตลอดชีพจะไม่ใช้กับสุภาพสตรีผู้ซึ่งจะออกจากงานเมื่อแต่งงาน แรงงานหญิงจะเป็นการทำงานชั่วคราว หรือการทำงานเป็นช่วงเวลาตามภาวะเศรษฐกิจที่นายจ้างจะขยายหรือลดกำลังแรงงาน แต่ในขณะเดียวกันองค์การจะรักษาอัตรากำลังแรงงานชายเอาไว้ บางครั้งในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำจริง ๆ เท่านั้นจึงจะมีการเลิกจ้างพนักงานประจำซึ่งจะเป็นแรงงานชาย

องค์การของญี่ปุ่นได้ลงทุนอย่างมากในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และพยายามดึงดูดให้พนักงานอยู่บริษัทนาน ๆ โดยการให้ค่าตอบแทนที่สูง ๆ เมื่อพนักงานมีอายุมากขึ้น ในขณะเดียวกันพนักงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากองค์การ เขาก็จะเกิดความภูมิใจและจะตระหนักถึงความเป็นส่วนหนึ่งขององค์การ

พนักงานญี่ปุ่นหนุ่ม ๆ เมื่อเข้าทำงานใหม่ ๆ จะได้รับค่าจ้างค่อนข้างต่ำ และค่าตอบแทนนี้จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามอายุงาน ส่วนใหญ่พนักงานตามองค์การใหญ่ ๆ พนักงานเก่าๆ จะมีค่าจ้างสูงกว่าพนักงานใหม่ ๆ ถึง 200-400 เปอร์เซ็นต์ในการขึ้นค่าจ้างประจำปีจะมีการนำอายุงานเข้ามาพิจารณาด้วย สวัสดิการต่าง ๆ จะให้โดยคำนึงถึงอายุงานด้วย เนื่องจากว่าองค์การของญี่ปุ่นจะบริหารเรื่องค่าตอบแทน โดยนำอายุการทำงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และการจ้างงานจะจ้างตั้งแต่จบการศึกษาใหม่ ๆ แต่ถ้าได้คนที่มีประสบการณ์ก็จะไม่มีการนับค่าประสบการณ์ให้เหมือนกับระบบตะวันตก สวัสดิการต่าง ๆ ก็จะเริ่มคิดกันใหม่จึงทำให้พนักงานไม่อยากจะออกจากงานและไม่สามารถหางานใหม่ได้ด้วย

ประกาศปรัชญาการบริหารงานขององค์การออกมาอย่างชัดแจ้ง

พนักงานระดับบริหารของบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเขียนปรัชญาการบริหารงานขององค์การปิดประกาศไว้ให้พนักงานทุกคนได้รับทราบ ปรัชญาเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะอธิบายองค์การว่าเหมือนกับครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพนักงานทุกคนขององค์การจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ซึ่งแต่ละองค์การจะมีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป

ปรัชญาการบริหารงานแบบครอบครัวนี้จะเป็นแบบการให้ความสนิทสนมกลมเกลียวการทำงานเป็นทีม เป็นต้น คำว่า "ครอบครัว" จะเน้นถึงความเป็นกลุ่มหนึ่งของสังคมซึ่งจะมีการระมัดระวังในการเลือกสมาชิก และไม่ต้องการให้มีใครพ้นจากครอบครัวไปถึงแม้ว่าเขาจะไม่เป็นที่พอใจของครอบครัวก็ตาม การอบรมให้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะก่อให้เกิดความจงรักภักดีซึ่งจะลดการเคลื่อนย้ายไปอยู่กับองค์การอื่นๆ ได้

ในการสร้างความผูกพันกับครอบครัว จะแสดงออกมาทางนโยบายของทางองค์การเช่นการหลีกเลี่ยงการเลิกจ้าง การจัดสวัสดิการให้มากเท่าที่จะให้ได้ องค์การจะต้องพยายามสร้างภาพพจน์ต่อพนักงานว่า องค์การมีความมั้นคง เพราะถ้าไม่สามารถสร้างได้จะพบว่าจะเป็นไปได้ยากในการสร้างการทำงานเป็นทีมและความร่วมมือ ในการแบ่งผลกำไรมาให้พนักงานบริษัทจะจัดสรรมาให้อย่างเต็มที่ทั้งในรูปของค่าจ้างและสวัสดิการต่าง ๆ เป็นต้น

เน้นกระบวนการอบรมสั่งสอน

การจ้างงานแบบตลอดชีพจะมีนโยบายเน้นการพัฒนาความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันภายในองค์การ ในการทำงานช่วงแรก ๆ ผู้ที่จบการศึกษามาใหม่ ๆ จะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเพราะว่าโครงสร้างของการดำรงชิวิตภายในองค์การจะพร้อมเสมอที่จะรับสมาชิกใหม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกโดยทั่ว ๆ ไป ก็คือบุคลิกภาพของพนักงานใหม่จะต้องคล้าย ๆ หรือเข้ากันได้กับพนักงานเก่า ๆ ผู้สมัครจะถูกคัดออกในขบวนการคัดเลือก ถ้าเขาแสดงออกมาว่าเขาเป็นคนที่เข้ากับใครไม่ค่อยได้ หรือมาจากครอบครัวที่ไม่อบอุ่น การตัดสินใจที่จะรับพนักงานใหม่จะกระทำเมื่อแน่ใจว่าเขาผู้นั้น จะอยู่กับองค์การตลอดไป บางครั้งพนักงานบริหารระดับสูง ๆ จะเข้ามาร่วมสัมภาษณ์ด้วย และบางครั้งจะมีการเชิญอาจารย์ที่โรงเรียนมาสัมภาษณ์ด้วย

กระบวนการอบรมสั่งสอนสำหรับพนักงานใหม่จะเริ่มตั้งแต่โครงการปฐมนิเทศน์ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน โครงการนี้จะให้พนักงานใหม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับปรัชญาการดำเนินธุรกิจขององค์การ ลักษณะงานในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์การ ลักษณะการบริหารงานขององค์การ ก็เพื่อที่จะทำให้พนักงานใหม่ปรับตัวเข้าได้กับทั้งพนักงานเก่าและองค์การ พนักงานใหม่จะถูกคาดหวังว่าเขาก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์การ ในการปฏิบัติงานการสอนงานให้พนักงานใหม่จะกระทำโดยผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงานที่มีอาวุโสสูงกว่า ซึ่งการสอนงานในเรื่องวิชาชีพจะถูกให้ความสำคัญน้อยกว่าการอบรมให้เขาเข้ากับคนอื่น ๆ ในหน่วยงานได้ และเมื่อพนักงานใหม่ปฏิบัติงานไปชั่วระยะเวลาหนึ่งก็จะมีการโยกย้ายเพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้งานใหม่ ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่ ๆ มากขึ้น การโยกย้ายนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเพิ่มพูนประสบการณ์ในระยะยาวเพื่อการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต

วิธีการในการบริหาร

การโยกย้ายและเลื่อนตำแหน่งอย่างช้า ๆ

การจ้างงานตลอดชีพจะมีผลทำให้การเลื่อนตำแหน่งทำได้ช้าลง เพราะการเลื่อนตำแหน่งจะทำได้เพียง 2 กรณี คือ 
  1. องค์การขยายตัว 
  2. เมื่อมีพนักงานเก่าปลดเกษียณไป 

ข้อจำกัดในเรื่องการเลื่อนตำแหน่งนี้ทำให้การโยกย้ายงานมีความจำเป็นมากสำหรับองค์การของญี่ปุ่น ในการมอบหมายให้พนักงานไปรับผิดชอบงานใหม่ ๆ จะมีผลทางอ้อมให้พนักงานในระดับเดียวกันได้รู้จักกันมากขึ้น การยอมรับกันอย่างไม่เป็นทางการก็จะเกิดขึ้นซึ่งจะมีประโยชน์อย่างมากต่อการเลื่อนตำแหน่งในอนาคต

ในการเลื่อนตำแหน่งจะพิจารณาปัจจัยสองประการคือ ผลการปฏิบัติงานในอดีตและอายุการทำงาน พนักงานที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มทั้งในด้านการเงินและการยอมรับ สำหรับพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานเด่น ๆ แต่ยังไม่อาวุโสพอ ถึงแม้วาเขาจะหมดโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งแต่เขาก็จะถูกมอบหมายให้มีความรับผิดชอบสูงขึ้นได้ การโยกย้ายงานบ่อย ๆ จะทำให้พนักงานได้รับการฝึกอบรมได้เรียนรู้งานใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น พนักงานจะถูกฝึกให้เป็นผู้รอบรู้อย่างกว้าง ๆ มากกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาวิชาชีพใดสาขาวิชาชีพหนึ่ง ระบบการจ้างงานแบบตลอดชีพและการฝึกอบรมพนักงานให้เป็นรู้รอบรู้อย่างกว้าง ๆ จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยลดการย้ายงานระหว่างองค์การได้

การประเมินผลจากคุณสมบัติและพฤติกรรม

การประเมินผลงานจะไม่ประเมินเฉพาะผลการปฏิบัติงานเท่านั้น แต่จะประเมินจากบุคลิกภาพและพฤติกรรมบางอย่างเช่น ความคิดสร้างสรรค์ วุฒิภาวะทางอารมณ์ ความร่วมมือกับคนอื่น ๆ ภาวะความเป็นผู้นำ การตัดสินใจ เป็นต้น การประเมินผลงานนี้จะต้องทำอย่างมีเหตุผลและสามารถอธิบายให้พนักงานเข้าใจได้ว่าผลการปฏิบัติงานของเขาเป็นอย่างไร มีจุดเด่น จุดบกพร่องอย่างไร

การประเมินผลงานจะให้ความสนใจไปยังผลงานของกลุ่มด้วย การคบค้าสมาคมในหมู่เพื่อนจะทำให้เห็นถึงความสามารถและศักยภาพของพนักงานเมื่อเปรียบเทียบกับพนักงานคนอื่น ๆ ในกลุ่ม

ความสำคัญของการทำงานเป็นทีม

การบริหารระบบญี่ปุ่นจะเน้นให้ความสำคัญของการทำงานเป็นทีม งานจะถูกมอบหมายให้กับกลุ่มมากกว่าปัจเจกบุคคล การสร้างความสามัคคีในกลุ่มจะเกิดขึ้นได้ โดยการกระจายความรับผิดชอบไปยังสมาชิกกลุ่มทุก ๆ คน ในการแก้ปัญหาจะใช้กลุ่มมากกว่าผู้เชี่ยวชาญ เพราะจะเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและเพิ่มความเป็นผู้นำของพนักงาน

กลุ่มงานต่าง ๆ ในองค์การจะมีขอบเขตจำกัดตามความรับผิดชอบของกลุ่มเท่านั้น โดยจะมีบริษัทเป็นผู้คอยประสานงานกิจกรรมระหว่างกลุ่มและควบคุมการฝึกอบรมต่าง ๆ การประเมินผลงานของกลุ่มจะประเมินจากขนาดของกลุ่มจำนวนครั้งของการย้ายงาน จำนวนและความเร็วของการผลิต เป็นต้น การทำงานเป็นทีมนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นปรัชญาในการบริหารเท่านั้นแต่จะมีผลพลอยได้ทำให้พนกังานมีความรู้กว้างขึ้น ซึ่งจะสามารถทำงานแทนกันได้เมื่อมีใครมาหยุดงานไป

การสื่อข้อความแบบเปิด

องค์การของญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะใช้การติดต่อสื่อสารแบบ face-to-face โดยผ่านทางกลุ่มงานต่าง ๆ โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกของกลุ่มแสดงความคิดเห็นได้ทุกโอกาส พนักงานบริหารของญี่ปุ่นจะกันบริเวณที่ทำงานของตนส่วนหนึ่งเอาไว้ เพื่อใช้เป็นที่สำหรับร่วมปรึกษาหารือกับเพื่อนและผู้ใต้บังคับบัญชา ในโรงเรียนโฟร์แมนจะอยู่ใกล้ชิดกับพนักงานในการปฏิบัติงานตลอดเวลา แม้กระทั่งผู้จัดการโรงงานก็จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับพนักงานมากกว่านั่งโต๊ะทำงานในสำนักงาน

การติดต่อสื่อสารแบเปิดนี้จะรวมถึงการติดต่อสื่อทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร การโยกย้ายพนักงานจะมีส่วนช่วยให้ติดต่อสื่อสารที่ไม่เป็นทางการกระจายไปทั่วทั้งองค์การได้

การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ

การตัดสินใจใด ๆ ที่จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้บริหารจะยังไม่ทำการตัดสินใจลงไปจนกว่าจะได้ร่วมปรึกษาหารือกับพนักงานเสียก่อนว่าเขามีความคิดเห็นกันอย่างไร ในกรณีที่มีความเห็นจัดแย้งกันก็จะใช้วิธีการอธิบายหาเหตุผลให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยคล้อยตามเสียก่อน เมื่อทุกคนในกลุ่มเห็นคล้อยตามกันแล้ว การตัดสินใจก็จะทำไปตามมติของกลุ่มและสมาชิกกลุ่มก็จะเต็มใจปฏิบัติตามซึ่งการกระทำตามวิธีการเหล่านี้ให้ได้ผลนั้น จะต้องมีการสื่อข้อความและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในหมู่พนักงานเป็นอย่างดีเสียก่อน

ให้ความสนใจในตัวพนักงาน

การติดต่อสื่อสารแบบไม่เป็นทางการ นอกจากจะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจแล้ว ยังจะต่อให้พนักงานเห็นด้วยว่าผู้บังคับบัญชาของเขาเอาใจใส่ให้ความสนใจในตัวเขามากน้อยขนาดไหน ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นจะใช้เวลาจำนวนมากในการพูดคุยกับพนักงาน ซึ่งความสัมพันธ์อันนี้จะช่วยให้ผู้บริหารเข้าใจถึงความต้องการและปัญหาของพนักงานทุกคน ซึ่งปัญหาหรือความต้องการใด ๆ ที่เป็นของคนส่วนใหญ่ พวกบริหารก็จะไม่ละเลยเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มใจ พนักงานก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งขององค์การเมื่อเขามีปัญหาองค์การก็ให้ความสนใจและเข้ามาช่วยเหลือ

ด้านสวัสดิการต่าง ๆ ของบริษัท 

จะจัดให้มีในหลาย ๆ ลักษณะ ทั้งทางด้านกีฬาบันเทิงและด้านวัฒนธรรมต่าง ๆ สวัสดิการนี้ไม่เพียงแต่จะให้เฉพาะตัวพนักงานเท่านั้น สวัสดิการบางอย่างยังให้ครอบคลุมไปถึงครอบครัวด้วย เช่นทุนการศึกษาบุตร การประกันสุขภาพครอบครัวบ้านพักอาศัย เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อจะสร้างแนวความคิดที่ว่าพนักงานและครอบครัวของพนักงานก็เป็นส่วนหนึ่งขององค์การ ซึ่งองค์การจะต้องเข้ามาดูแลเมื่อประสบภาวะเดือดร้อน

การบริหารงานระบบญี่ปุ่นนั้นจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในแง่ของการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพนักงานกับองค์การ  ว่าเปรียบเสมือนครอบครัวเดียวกันต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันเมื่อพนักงานร่วมมือกันปฏิบัติงานจนองค์การประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้าเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ องค์การก็มีข้อมูลผูกพันที่จะต้องแบ่งปันผลประโยชน์ที่องค์การได้รับกลับมาให้พนักงานทุก ๆ คน ทั้งในส่วนของความมั่นคง การยอมรับ การมีส่วนร่วมความปลอดภัยในการทำงานและผลประโยชน์ตอบแทนต่าง ๆ ทุก ๆ โอกาสที่จะทำได้  ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ  หรือ ฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ดีก็ตาม

นิตยสารผู้จัดการ ( พฤษภาคม 2528)

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีเลือกที่พัก หอพัก เพื่อการทำงาน !!!


ใช่ครับ ...  การเลือกที่พักถือเป็นสิ่งแรกที่เราทำกันอยู่บ่อย ๆ แต่บางครั้งก็ไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดเหล่านี้กัมากนัก  แต่รู้หรือไม่ว่า...การเลือกทำเลที่เหมาะสมจะทำให้เราใช้วิตได้อย่างเหมาะสม  ลงตัว นะครับ  วันนี้ผมมีแนวคิดเชิงบริหารจัดการชีวิต  ดังนี้ครับ

เลือกที่พักใกล้โรงพยาบาล  ทำให้เราเดินทางได้สะดวกในยามที่เราเจ็บป่วย  หรืออาจมีเหตุฉุกเฉิน  จะทำให้เราเดินทางถึงโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น  หากอยู่ตัวคนเดียวยิ่งต้องอยู่ใกล้เชียวล่ะ ^^

เลือกที่พักใกล้ตลาด  ทำให้เรามีของกินมากมายในช่วงเวลาหลังเลิกงานหรือวันหยุด  มีสิ่งของให้เราซื้อได้หลากหลายในราคาที่ถูกลงอีกด้วย

เลือกที่พักติดถนนใหญ่  การเดินทางจากสุดซอยมายังต้นซอยคงเป็นเรืองไม่ดีนัก  หากเดินมาไม่ทันก็จะไม่ทันรถบริษัทแน่ ๆ หรือ  บางทีการเดินทางกลับจากการทำงาน  คงทำให้เราเหนื่อยขึ้นไปอีกนิดนึง  แต่นิดนึงนี้  มันช่างเหนื่อยมากกว่าทำงานอีกนะ  ว่าไหมครับ ^^  เรื่องความปลอดภัยตามซอยต่าง ๆ ด้วยล่ะ

เลือกที่พักใกล้ร้านสะดวกซื้อ  ถ้าร้านในตลาดเก็บของปิดร้านกันหมด  เราจะไปซือของที่ไหนดี  เผื่อตอนดึก ๆ เราหิวขึ้นมาเราก็ยังมีร้านสะดวกซื้อเหล่านี้ไว้ทดแทนในยามขัดสนได้บ้าง

เลือกที่พักที่มีรถประจำทางหลากหลาย  ถ้าหากเราไม่ทันรถบริษัทขึ้นมา  คงยากที่จะหารถคันอื่นมาทดแทนในช่วงเวลาเร่งรีบเข้างานขนะนั้น   อันนี้ผมใช้บริการประจำ 555+  

เลือกที่พักใกล้ที่ทำงาน  นี่ก็เป็นทางเลือกที่ใคร ๆ หลายต้องการ  เพราะทำให้เราไม่ต้องเร่งรีบเข้างาน  นอนได้อย่างเต็มอิ่ม  เลิกงานได้อย่างสบายใจ   ไม่ต้องรีบติ๊ดดดด.... บัตร  แล้วรีบเดินไปขึ้นรถบริษัท  มนทำให้เราใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย

เลือกที่พักใสถานที่ออกกำลังกาย  แน่นอนว่า  คนเราก็อยากออกกำลังกายบ้าง  ยิ่งหลังเลิกงานยิ่งต้องการเพื่อนฝูงไปออกกำลัง  ตีแบต  เตะบอล  ฯลฯ  อย่างแน่นอน  และทำให้ร่างกายแข็งแรง  ผ่อนคลายความตึงเครียดจากการทำงานอีกด้วย

เลือกที่พักใกล้ศูนย์การค้า  แน่นอนว่าข้อนี้คงจะเหมาะสำหรับสาว ๆ เพราะช่วงวันหยุดเป็นวันที่สาว ๆ ชอบเดินทางไปห้างเพื่อซื้อของนั่น  โน่น  นี่  และเดินตากแอร์เย็น ๆ  เมาท์มอยกับเพื่อน ๆ ร่วมแก๊ง  จนมันปากกันเลยเชียวล่ะ ซึ่งเป็นการผ่อนคลายที่ดีอีกแบบนึง  และทำให้เราได้ออกกำลังกายจากการเดินอีกด้วย  และช่วงเหนื่อย ๆ ก็จะกินน้ำ  กินขนม ฯลฯ จนอิ่ม   อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าทำให้ผอมหรือเปล่าน่ะ  555+   แต่รู้ว่าทำให้สุขภาพกายและจิตดีขึ้นแน่นอนครับ


หลังจากที่ผมเสนอแนวคิดเชิงบริหารจัดการชีวิตไปมากมาย   คาดว่า  คงจะเป็นประโยชน์กับคนวัยทำงานนะครับ  เพราะทุกวันนี้..เราเผลอนิดเดียวบางสิ่งบางอย่างจะหายไปอย่างรวดเร็ว  เช่น  ค่าใช้จ่าย  สุขภาพ  และความสุข  ดังนั้นเราควรที่จะคิดก่อนใช้ชีวิตให้รอบคอบซะก่อน  เพื่อลดความเสี่ยงในอนาคต  

สุดท้ายนี้  ก็ขอฝากเพื่อน ๆ เข้ามาพูดคุยกันในเว็บไซต์แห่งนี้กันด้วยนะครับ  ไม่ว่าจะวัยไหนก็แล้วแต่  เข้ามาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันนะครับ  ขอบคุณที่ติดตามบทความของผมครับ ^_^

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คนทำเว็บไซต์เริ่มใช้วิธีอันตราย เรียกคนเข้าเว็บ !!! (Facebook Warning)

หลังจากที่ผมคอยสังเกตการนำรูปดารา  รูปข่าว  ต่าง ๆ มาโพสต์ พร้อมสร้างกระแสแรง ๆ เพื่อให้คนสนใจและเข้าข้อความเหล่านั้น  เบื้องหลังมันคือการทำให้คนเข้าเว็บไซต์  นอกจากนี้  ยังใช้ Facebook แลกข้อมูลส่วนตัวของเราเพื่อการเข้าชมสิ่งเหล่านั้น  ดังรูป


เมื่อผมลองคลิกดู  จะเห็นช่อง URL ของเรามันทำงานอัตโนมัติ  จนสุดท้ายมาหยุดอยู่ที่หน้าต่างนี้  แล้วถ้าเรากด ตกลง  อาจจะทำให้เราเสียข้อมูลส่วนตัว หรือไม่ก็  อาจจะมีไวรัสซ่อนอยู่ในนั้นก็เป็นได้  แต่หลัก ๆ แล้ว  มันเป็นเกมส์การตลาด  เป็นการใช้วิธีไม่ใสสะอาด  มันคือหลุมดำ  ด้วยซ้ำ


วันนี้ผมก็มาแจ้งเตือนเพื่อน  ๆ ชาวออนไลน์  ให้ระวังการใช้งานในโลกออนไลน์ให้มาก ๆ นะครับ

ให้มีความสุขหลังวันวาเลนไทน์มาก ๆ ครับ